เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ธ.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันสิ้นปี วันนี้วันสุดท้ายของปี ๒๕๔๕ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว แล้วถ้าวันสุดท้ายมันผ่านไปแล้ว เราจะเรียกร้องสิ่งนี้กลับมาอีกไม่ได้เลย เครื่องยนต์กลไก สิ่งต่างๆ เรายังแก้ไข ยังซ่อมแซมขึ้นมาให้มันเป็นของใช้ได้นะ แต่วันเวลามันผ่านไปแล้วมันจะผ่านไป แล้วเรียกกลับมาไม่ได้เลย สิ่งนี้จะผ่านไป

นี่เวลาธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนสอนให้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ติดในอดีต ไม่ห่วงในอนาคต แล้วไม่ติดในอดีต ให้แก้ไขปัจจุบันตลอดเวลา แต่ในเมื่อเราคิดว่าในปัจจุบันนี้มันก็จะต้องผ่านไปๆ มันคือโอกาสของเราไง โอกาสของเราจะน้อยไปทุกวันๆ ไป ถ้าเป็นเด็กขึ้นมามันจะมีความสุขมาก เพราะอยากเป็นผู้ใหญ่ เวลาเด็กเป็นผู้ใหญ่ แต่คนที่เป็นผู้ใหญ่เสียดายสิ่งที่ผ่านมา เสียดายวันเวลาที่ผ่านมา เพราะมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราอยู่กับความเคยชิน เราอยู่กับความเคยชินนะ

ในเชนของญี่ปุ่นเขาบอกว่า อนันตริยกรรม การฆ่าเวลาทิ้งก็เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง แต่ของเรามันไม่เป็นอนันตริยกรรม มันเป็นว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่ นี่ฆ่าเวลาไง คือปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยใช่เหตุ คนที่เห็นคุณค่าของเวลาเขาจะมีความคิดขนาดนั้นนะ ว่าการปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ เป็นอนันตริยกรรมเลย คือการว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหาศาล เป็นการที่เราปล่อยเวลาล่วงไป ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกคนจะเป็นอย่างนั้นหมด อนันตริยกรรมต้องตกนรกน่ะสิ

นี่ความคิดของเขาไง ความคิดในการสั่งสอนของครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ ให้ลูกศิษย์ได้ตื่นตัวไง ตื่นเนื้อตื่นตัวกับวันเวลาที่มันล่วงไปๆ เรานี่วันเวลาล่วงไปๆ เราจะแก่เฒ่าตลอดไป เราจะแก่เฒ่าหมดโอกาสไป หมดโอกาสไป ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องจากโลกนี้ไป ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ชีวิตนี้มันมีสิ่งใดที่จะเป็นแก่นสารของชีวิตไป

เราคิดถึงสิ คิดถึงการทำบุญกุศลของเราขึ้นมาในหัวใจ มันมีบุญกุศลเท่านั้นที่ติดมาในหัวใจ สิ่งต่างๆ ที่ทำเป็นบาปอกุศลขึ้นมามันทำให้เราหงุดหงิด ทำให้เราคิดแล้วมันเสียดาย มันไม่น่าทำเลย แต่มันก็เป็นความขุ่นข้องหมองใจ อันนี้เป็นบาปอกุศล แต่บุญกุศลเวลาคิดขึ้นมา คิดถึงบุญกุศลขึ้นมามันสดๆ ร้อนๆ นะ มันอยู่กับเราตลอดไป มันมีอยู่กับเราตลอดไป มันแนบไปกับใจ เพราะใจเป็นเรื่องการกระทำ เรื่องเจตนาเริ่มต้น เห็นไหม เจตนานี้เป็นบุญกุศล มีความเจตนา มีความคิดดี เป็นความคิดดี แต่เจตนาของเด็กเป็นอย่างหนึ่ง เจตนาของผู้ใหญ่ก็เป็นอย่างหนึ่ง เจตนานี้ยังต้องมาแนบกับเรื่องศีลธรรมว่ามันถูกต้องในศีลในธรรมไหม?

มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบๆ นะ ถ้าเราไม่มีมรรคหยาบเลย เราไม่คิดถึงเรามีความต้องการมีเจตนาขึ้นมาเราจะทำไม่ได้เลย แต่พอเราบอกมีเจตนาขึ้นมา เป็นความอยากเป็นกิเลสแล้ว ความอยากเป็นกิเลสจริงอยู่ แต่มันเป็นมรรคขึ้นมา มรรคหยาบต้องไปหามรรคละเอียด คนที่ไม่มีมรรคเลยมันหยาบจนไม่รู้จักว่ามรรคคืออะไรไง

มรรคนี้มันคืออะไรไม่รู้จัก รู้จักแต่ว่าความคิดของตัวเองเป็นความคิดของตัวเอง ยึดมั่นถือมั่นว่าในโลกนี้มีเราคนเดียว เราเกิดมามีความรู้สึกของเรา เรานี้เป็นใหญ่ เรามีความยึดมั่นถือมั่น เวลาทุกข์ก็เราทุกข์คนเดียว เวลาสุขขึ้นมาเรามีความสุขคนเดียว เราก็ซ่อนเร้นไว้กลัวความสุขนั้นจะหายไป กลัวความสุขนั้นจะไม่สมความปรารถนา ความสุขนั้นมันอยู่กับเราชั่วคราว มันก็ต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย สิ่งนี้ไม่คงที่ทั้งหมดเลย เราถึงว่าเราต้องมีมรรคหยาบๆ ขึ้นมา คือว่าเรามีเจตนาเข้ามา สนใจเรื่องสิ่งนี้เข้ามา แล้วหามรรคขึ้นมาให้ได้ ทำให้มันเป็นอกุปปธรรมไง สิ่งที่ไม่แปรสภาพ สิ่งนี้จะไปกับใจตลอดไป สิ่งที่ไปกับใจ บุญกุศลนี้ไปกับใจเหมือนกัน แต่ไปกับใจเป็นสิ่งชั่วคราว เพราะมันเป็นแรงขับเคลื่อน รถยนต์จะมาที่นี่ได้ ใครซื้อรถยนต์ก็แล้วแต่ในบ้าน ถ้าเราไม่เติมน้ำมันไว้มันจะติดเครื่องไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน ใจเหมือนรถยนต์อันหนึ่ง แต่พลังขับเคลื่อน บุญกุศลนั้นเหมือนน้ำมัน น้ำมันคือว่าเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสใช้แล้วหมด เราสร้างบุญกุศลขึ้นมาเราไปเกิด เกิดเป็นบุญกุศลเกิดดี เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เกิดเป็นพรหมก็แล้วแต่ เทวดา อินทร์ พรหมก็แล้วแต่ต้องหมดอายุขัยของเขาทั้งหมด เห็นไหม คำว่าเป็นอามิสมันเป็นอย่างนั้น

แต่ในเมื่อศาสนาพุทธเราสอนเรื่องสิ่งที่เป็นความจริงในหัวใจ หัวใจมันเป็นสสารส่วนหนึ่ง มันไม่เคยตาย สสารอันนี้มันจะเคลื่อนตลอดไป ธาตุรู้นี้มันเคลื่อนไป แต่มันโดยอวิชชา โดนตัณหาความทะยานอยากสืบต่อไป เป็นยางเหนียวไป สิ่งนี้มันจะไป เพราะพลังงานมันมีอยู่ แต่ตัวสสารนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งนี้คงที่ คงที่ในการมีอยู่ แต่มันมีอยู่โดยที่ว่าโดนอวิชชาปัจจยา สังขาราปกปิดไว้ มันต้องเคลื่อนไปตามสภาพของมัน มันต้องเกิดต้องตายตลอดไป

ทีนี้เกิดตายขึ้นมาบุญกุศลก็พาเกิด บุญกุศลพาเกิดดี พาเกิดมีบุญกุศล แต่เรื่องที่ว่าความเป็นธรรมะอันละเอียดอ่อน ธรรมะที่ว่ามันไม่เป็นอามิสมันอยู่ที่ภายใน อย่างเช่นเราทำความสงบของใจเข้ามา เราจะเริ่มทำความสงบของใจเข้ามา เรามีทานก่อน มีทานขึ้นมา เปิดขึ้นมาให้ใจนี้มันเปิดกว้างออกไป ใจเราไม่เปิดกว้าง ใจเราไม่ยอมปล่อยวางสิ่งใด มันยึดไว้ตลอด ในมือของเรา เรากำของไว้ในมือของเรา เราจะหยิบสิ่งอื่นไม่ได้เลย

ใจนี่มันยึดความเห็นของตัว มันยึดมั่นถือมั่นมาก เวลาทำบุญกุศลมันคลายตัวออก สิ่งนี้เราสละออกไป เราอยากสละออกไป เราอยากทำบุญออกไป นี่มือเราเริ่มคลายออก สิ่งที่อยู่ในมือเรามันก็ต้องหลุดออกไป หลุดออกไปนี่มือเราจะว่างขึ้นมา

ใจก็เหมือนกัน มีเจตนามันคลายออกๆ คลายออกแล้วมันทรงตัวมันเองไม่ได้เพราะมันไม่เคยทำ มันน่าสงสารมาก จิตของเรามันแสวงหาสิ่งที่มีความสุขมาก แต่มันไม่เคยเจอความสุขสิ่งใดๆ เลย เพราะมันไม่เข้าใจของมัน เราจับไปตรงไหนมีแต่ความร้อนๆ มีเจตนาของการทำบุญกุศลมันเริ่มคลายตัวออก คลายตัวออกก็มีศีลให้มันทรงตัวได้ ทรงตัวได้ ให้มีรั้วกั้น

ศีลคือรั้วกั้น รั้วของบ้าน บ้านคือตัวใจ ใจนี่มันมีรั้วกั้นขึ้นมา มีศีลขึ้นมามันไม่ออกไป นี่พอมันคลายตัวออกมาแล้วก็มีทานก่อนมีศีล แล้วก็มีภาวนา ไอ้ภาวนาตัวนี้ตัวที่ว่าเราพยายามทำใจของเรา ใจมันเป็นสสารส่วนหนึ่ง มันไหลไป เหมือนน้ำมันไหลไปตามที่ต่ำ ทีนี้ไหลไปตามที่ต่ำก็ไหลไปตามกระแสของโลก เราก็พุทโธ พุทโธทวนกระแสเข้ามา การทวนกระแสเข้ามาคือเอาพุทโธย้อนกลับเข้าไป ย้อนกลับใจเข้าไป พยายามปั้นฝายปั้นน้ำขึ้นมาให้น้ำมันอยู่ในหัวใจ น้ำใจเกิดขึ้นมา สมาธิเกิดขึ้นมาในหัวใจ นั่นล่ะสิ่งนี้ที่ว่าสสารไม่เคยตาย

คนจะเห็นในหัวใจของตัว อ๋อ สุขมันเป็นอย่างนี้เอง ใจมันเป็นอย่างนี้เอง เห็นใจของตัว เห็นความมหัศจรรย์ของใจ มหัศจรรย์มาก แล้วเวลาคนประพฤติปฏิบัติ ทุกคนเวลาภาวนานี่แสนยากเลย ความสงบตัวก็แสนยาก จะให้มันเป็นมรรคขึ้นมาก็แสนยาก นี่มรรคมันเกิดขึ้นตรงนี้ เกิดขึ้นจากภายใน มรรคภายนอกเราพูดกันไปนี่เป็นชื่อของมรรค เราไม่เคยเห็นตัวของมรรคนะ เราได้แต่ชื่อของมรรค ได้แต่ชื่อ เราได้ชื่อของผู้ร้าย สิ่งนั้นไม่ดีเป็นอกุศล สิ่งนั้นไม่ดี ไม่น่าคิด ไม่น่าทำเลย เราได้แต่ชื่อ แต่เราไม่เคยเห็นตัวมันเลย ถ้าเราไม่เคยเห็นตัวมันเราจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย เราต้องเอาตัวมันให้ได้

นี่เอาตัวให้ได้คือเอาจิตที่สงบนี้ก่อน พอจิตมันสงบขึ้นมามันจะย้อนกลับขึ้นมา มรรคจะเกิดตรงนี้ นี่มรรคอันละเอียด นั้นชื่อของมรรค ในตำรับตำรานั่นชื่อของมรรค เป็นแผนที่ดำเนินทั้งหมด แต่อาการของมัน ความเป็นจริงเกิดขึ้นมาเกิดขึ้นมาจากใจ ใจเกิดขึ้นมา ใจจับต้องสิ่งนี้ได้ ใจย้อนกลับเข้ามา นี่มันเกิดขึ้นที่ไหน? มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ใจของเราเป็นพื้นฐาน สสารตัวนี้มันไหลไปตามกระแสของโลก นี่มันตามกระแสของมันไป แล้วมันก็เอาแต่ความทุกข์ร้อน เอาแต่ความยึดมั่นถือมั่นของมันเข้ามา ทวนกระแสของมันไปด้วยธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่โอกาสของเรานะ วันพรุ่งนี้ก็เป็นปีใหม่ ชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่เราทำอย่างไรให้เป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา ชีวิตใหม่ขึ้นมา เราพยายามทำชีวิตของเราให้เข้าหาความจริง เรื่องของโลกเขานะ วัยรุ่น พวกเด็กมันชอบมีความสนุกสนานมาก ปีใหม่คือการฉลองปีใหม่ คือการได้รับของขวัญ นั่นมันเป็นแค่นั้น มีความสุขแค่นั้น นั่นเป็นความสุขเปลือกๆ ใครก็ให้กันได้ คนมีเงินมีทองจะแสวงหาขนาดไหน ของขวัญซื้อให้ตัวเองขนาดไหนก็ซื้อได้ แต่มันมีความพอใจไหม? มีความสุขขึ้นมาไหม? มันเป็นความมั่นใจไหม? มันว้าเหว่นะ ทุกดวงใจว้าเหว่

“ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่”

นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เลย นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เป็นความจริงว่าในสโมสรสันนิบาต เพราะขนาดสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจก็ว้าเหว่ มันต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป เห็นไหม พอสโมสรสันนิบาตนั้นเลิกแล้วเราจะไปไหน? ใจนี้จะไปไหน? นี่ทุกดวงใจว้าเหว่

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อของขวัญมันเป็นอามิส มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นศีลธรรม เป็นคุณงามความดีที่เราจะยื่นให้กัน เป็นการแสดงออกของค่าน้ำใจ ค่าน้ำใจการแสดงออกนี่พึ่งคนอื่นพึ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตัวเอง พยายามหาหลักของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ยืนของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ถ้ายืนตัวเองขึ้นมาได้มันมีความอุ่นใจ เห็นไหม มีความอุ่นใจขึ้นมา มันจะเริ่ม นี่ความว้าเหว่เกิดจากไหน? เกิดจากเราไม่มีจุดยืน เราไม่รู้สิ่งต่างๆ ขึ้นมาเลย ถึงเรามีจุดยืน เราก็มีจุดยืนโดยสุตมยปัญญาคือแผนที่ดำเนิน เราได้แผนที่เต็มห้องเลย แต่เราไม่ได้สร้างบ้านขึ้นมาแม้แต่หลังเดียว

เพราะเราไม่สร้างบ้านขึ้นมา เราจะไหว้วานให้คนอื่นสร้างก็ไม่ได้ บ้านของใจต้องสร้างด้วยตัวเอง นี่บ้านของโลกเขาให้ช่างผู้ที่ชำนาญ เรามีเงินมีทองเราจ้างเขาทำได้ นี่บุญกุศล เงินนี่เราสามารถแปรเป็นบุญกุศลได้ แต่ไม่สามารถซื้อสมาธิ ไม่สามารถซื้อธรรมในหัวใจขึ้นมาได้ มันต้องพยายามแก้ไข สิ่งนั้นถ้าเป็นประโยชน์ ใจเราเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา เราจะให้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าหัวใจเราไม่เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะไม่เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เราจะสร้างเป็นประโยชน์กับเรา เราทำประโยชน์กับเราขึ้นมา

อันนั้นมันเป็นส่วนหนึ่ง มันเป็นอำนาจวาสนา มันเป็นเพราะเราสร้างคุณงามความดีมาเราถึงได้เกิดสถานะนี้ การเกิดนี่บุญพาเกิด เกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ยากมาก เพราะการเกิด ดูสิคนเมื่อก่อน ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคนมาจากไหน? แล้วจิตวิญญาณ สัตว์น้ำมาจากไหน? นี่มด ปลวก จิตหนึ่ง วิญญาณหนึ่ง เกิดได้หนึ่งเดียวมาจากไหน? แล้ววิญญาณที่ยังไม่ได้เกิดอีกมหาศาลเต็มไปหมดเลย แล้ววิญญาณมันมาจากไหน? มันเป็นอจินไตย มันไม่ต้องสืบสาวออกไปว่าเรื่องของโลกมันเป็นอย่างไร? นี้มันเป็นเรื่องของโลก เรื่องของวัฏฏะ มันเป็นอย่างนั้น มันสืบไม่มีที่สิ้นสุด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไปไม่มีวันที่สิ้นสุด จิตนี้เวียนตายเวียนเกิดตลอด มันถึงมีอยู่มหาศาลที่ต้องเป็นไปเกิด แล้วเราก็เป็นหนึ่งในนั้นไง เป็นหนึ่งในนั้น แล้วเราเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก ยากเพราะอะไร? ยากเพราะจิตนี่แสวงหาที่เกิดทั้งหมดเลย แยกกันมาเกิด แต่เรามีบุญมากกว่าแล้วเราเกิด เกิดแล้วเราพบพุทธศาสนาด้วย นี่กึ่งกลางพุทธศาสนาศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ในพระไตรปิฎกบอกว่า กึ่งพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกชั้นหนึ่ง แล้วนี่มันรุ่งเรืองไหม?

เราอ่านประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นพูดไว้ว่า รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัย ร. ๔ ตั้งแต่สมัย ร. ๔ ที่ว่าสะสมมา เริ่มมา นี่หลวงปู่มั่นพูดไว้อย่างนั้นในบุพพาจารย์ หลวงปู่มั่นบอกเลยว่ารุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัย ร. ๔ คือเปิดทางมาตั้งแต่ตอนนั้น เปิดทางคือว่าหาทางออกใหม่ แต่เดิมเป็นทางออก พระเราไปตามประสาโลกเขาไป ตามกระแสโลกไป ไปกับโลกหมด

ทีนี้ย้อนกลับขึ้นมา ผู้ที่ย้อนกลับขึ้นมาคือเข้าหาหลักของธรรม ถ้าเข้าหาหลักของธรรมได้ นี่เปิดทางมา แล้วครูบาอาจารย์ศึกษามา ร่ำเรียนมา นี่ค้นคว้าขึ้นมา จนเป็นศาสนารุ่งเรืองขึ้นมาในหัวใจของครูบาอาจารย์ไง มันรุ่งเรืองขึ้นมาในหัวใจของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เข้าถึงธรรม เข้าถึงธรรมถึงเอาความเป็นจริงเอาธรรมนี้มาสอนพวกเราได้ แล้วเรามาเจอธรรมสิ่งนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ด้วย แล้วกึ่งกลางพุทธศาสนาด้วย นี่ในทฤษฎีกำลังเจริญรุ่งเรือง แต่ในหัวใจของเราจะมีไหม?

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แล้วกิริยาของธรรมท่านสอนไว้ พระไตรปิฎกวางไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี แล้วครูบาอาจารย์ก็มารับรู้สิ่งต่างๆ หลวงปู่มั่นค้นคว้าขึ้นมาจนได้ธรรมในหัวใจ แล้วก็ศึกษาธรรมขึ้นมาในหัวใจจนเป็นธรรมขึ้นมา แล้วก็วางต่อมา เห็นไหม วางต่อมาเป็นข้อวัตรปฏิบัติไง เป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน จะดำเนินได้ถ้าเข้าถึงใจ

ถ้าใจมีเครื่องดำเนินจะไปได้ มีถนนหนทางนี่ไปได้ แล้วทางกว้างทางแคบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทางกว้างมาก ครูบาอาจารย์ก็ทางแคบลงมา แคบลงมา นี่เราเจอสิ่งนี้ เราไม่ต้องไปค้นคว้าที่ไหน เราไม่ต้องไปวิตกวิจารที่ไหน เราพยายามทำเข้ามา เพราะสิ่งนี้ทุกอย่างย้อนกลับมาที่ใจ ทุกอย่างเลยย้อนกลับมาที่ใจ ถ้าเราย้อนกลับมาที่ใจ แต่ย้อนมาอย่างไร ถนนหนทางคนเดินก็ยังหลง แต่นี้เรื่องธรรม เรื่องของใจมันจะไม่หลงไปได้อย่างไร?

ในเมื่อทำสมาธิเข้ามา เป็นมรรคขึ้นมา มัคคาเครื่องดำเนิน มันจะก้าวเดินเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลยนะ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล นี่เป็นชั้นๆๆ เข้าไป เป็นชั้นเข้าไปแล้วจะไม่หลง หลงทุกชั้น หลงทุกขั้นตอน ผ่านขั้นแรกเข้าไปก็ไปหลงขั้นที่ ๒ หลงขั้นที่ ๓ หลงเพราะอะไร? เพราะว่าเวลาเราเดินมรรคนี่เราไม่เคยเดิน ทางที่เราไม่เคยเดินมันต้องผิดพลาดโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่เป็นธรรมชาติ สิ่งที่ทำให้หลง เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจ

กิเลสอยู่ในหัวใจ เห็นไหม เราขับรถไปเรามีความลังเลสงสัย มันก็ทำให้เราคลาดเคลื่อนจากหลักของเราแล้วเพราะเราสงสัย นี้มันสงสัยในใจโดยธรรมชาติเลย มันปิดบังใจไว้ ใจนี่ก้าวเดินไปตามอำนาจของกิเลสทั้งหมด ทำไมมันจะไม่สงสัย แต่ธรรมนี่มันเกิดเป็นครั้งเป็นคราว เพราะเราสร้างสมขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา มันก็จะแยกสิ่งนั้นเข้าไป แยกสิ่งนั้นเข้าไป จนชำระไปเป็นชั้นๆ เข้าไป มันถึงที่สุดได้ จบจากตรงนั้นมันก็มีความสุขในหัวใจ ใจจะมีความสุขมาก

นั่นล่ะถ้าปีใหม่ ชีวิตใหม่ต้องให้มีธรรมในหัวใจ ธรรมในหัวใจนี้จะเข้ามาในหัวใจของเรา แล้วสิ้นปีไปมันก็จบสิ้นไปนะ มันจะหมดออกไปโดยธรรมชาติของมัน สิ้นปีแล้วหมดไป หมดแล้วปี ๒๕๔๕ จะเป็นปี ๒๕๔๖ ตลอดไป แล้วเราจะนอนใจของเราได้ไหม? ถ้าเรานอนใจเราไม่ได้เราต้องเตือนตัวเอง มีธรรมในหัวใจคือคนมีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติสัมปชัญญะเราเตือนเราตลอดเวลา

นี่เวลาเราน้อยลงไปเรื่อยๆ ถ้าน้อยลงไปเรื่อยๆ เราต้องพยายามแสวงหาของเราเรื่อยๆ แสวงหาหลักของใจ ถ้าหาหลักของใจเราได้แล้วนะ เราจะไปไหนเราจะไปได้ธรรมชาติของเรา คนมีพร้อมนะ เสบียงพร้อมทุกอย่าง เดินออกจากบ้านจะไปไหนก็ไปด้วยความสะดวกสบาย คนถ้าไม่มีพร้อม มีแต่ความว้าเหว่ ไปไหนมันก็มีแต่ความทุกข์ยาก นั้นคนที่ไม่พร้อม เราจะต้องพร้อมของเรา เราสร้างของเราเอง เอวัง